คนไทยผู้เบิกสกอร์แรกในลีกญี่ปุ่น “จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์”

คนไทยผู้เบิกสกอร์แรกในลีกญี่ปุ่น “จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์”


หลายๆคนอาจเคยได้ยินชื่อเขามาบ้างกับทีมชาติไทยชุดยู 23 เมื่อ2-3 ปีก่อน เขาเป็นผู้เล่นที่เล่นเกมรุกและเกมรับในตำแหน่งกาบขวาได้ดีและมีพละกำลังความฟิตที่เหลือล้น พร้อมทั้งยังเป็นนักเตะไทยคนแรกที่สามารถทำประตูได้ในลีกฟุตบอลญี่ปุ่น กับทีม ยู-23 ของเอฟซีโตเกียว ไอซ์ “จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์”

เขาเป็นเด็กจากจันทบุรี มีพี่ชาย 1 คน โดยพี่ชายของเขาได้รับความสนับสนุนอย่างเต็มที่จากคุณพ่อในด้านฟุตบอลแต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จทางด้านนี้ แต่จักรกฤษณ์ในตอนนั้นก็มีหน้าที่เพียงเก็บลูกฟุตบอลให้กับพี่ๆทีมฟุตบอลเดินสายแถวบ้านในช่วงเย็น ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ได้เตะฟุตบอลเป็นเท่าไร แต่ด้วยความที่อยู่กับทีมฟุตบอลทุกวันบางครั้งเขาก็ได้ลงเล่นร่วมกับทีมและฝึกฝนจนมีฝีเท้าที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเอาดีทางด้าน จนกระทั่ง อาจารย์ สกล เกลี้ยงประเสริฐ เห็นแววในฝีเท้าของเจ้าไอซ์ ถึงแม้ว่าทักษะจะไม่ได้โดนเด่นมากนักแต่ว่าเขามีลูกขยันวิ่งสู้วิ่งไล่ทั่วสนาม จึงชักชวนให้เข้ามาเล่นฟุตบอลและศึกษาต่อที่ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี เจ้าไอซ์ได้เล่นฟุตบอลในรายการใหญ่ๆมากมายของวงการลูกหนังขาสั้น อย่างต่อเนื่อง จนได้ก้าวเข้าไปติดทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน17 ปี และ 19 ปี และได้โอกาสเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

ในต้นปี 2017 สโมสรได้เปิดโอกาสให้นักเตะเยาวชนของสโมสรได้มีโอกาสบินไปทดสอบฝีเท้ากับ เอฟซี โตเกียว ทีมดังในศึกเจลีก 1 เป็นระยะเวลา 10 วัน แบงค็อก ยูไนเต็ด ได้เลือก 2 นักเตะเยาวชนที่จะไปทดสอบฝีเท้าครั้งนี้คือ จักกฤษณ์ เวชภิรมย์ และ ศศลักษณ์ ไหประโคน การไปญี่ปุ่นทำให้เขาได้เห็นฟุตบอลที่เติบโตกว่าตอนที่อยู่ไทยไปอีกขั้น ที่นี้มีการซ้อมที่เข้มข้นและจริงจัง การแข่งขันที่สูงภายในทีม หลังจากกลับมาจากการไปทดสอบฝีเท้าเขาก็ลงเล่นในทีม บี ของแบงค็อก ยูไนเต็ด ก่อนที่จะได้รับข่าวร้ายเรื่องการสูญเสียคุณพ่อ นั่นคือจุดเปลี่ยนทางสภาวะจิตใจครั้งใหญ่ของเขาที่ต่อไปนี้จะไม่มีใครให้คำปรึกษาในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของเขาอีกแล้ว นั่นจึงทำให้เขาต้องมุ่นมั่นกับฟุตบอลมากกว่าเดิมเพื่อเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวได้ ต่อมา 3 เดือน ทางแบงค็อกได้รับข่าวว่า เอฟซี โตเกียว ได้ประเมินเขาผ่านการคัดเลือกจากการทดสอบฝีเท้า และต้องการยืมตัวมาเล่นให้กับทีมยู23ของเอฟซีโตเกียว จนจบฤดูกาล 2017

แต่น้อยคนจะรู้ไหมว่าการไปญี่ปุ่นของเขา เขาต้องไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวโดยไม่มีล่ามไปที่นั้นด้วย การฝึกซ้อมและวัฒนธรรมของฟุตบอลญี่ปุ่นทำให้เขาต้องผลักดันตัวเองให้เล่นให้ได้เพราะการมาครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ชื่อของเขาเองแต่ได้พกเอาชื่อประเทศไทยติดตัวมาด้วย ทำให้เขาต้องแสดงให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมเห็นว่าคนไทยก็มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมสู้คนที่นี้ได้เหมือนกัน และในนัดสุดท้ายฟุตบอลเจลีก 3 ที่พบกับเซเรโซ โอซาก้า ยู 23 วินาทีที่ 21 ของการแข่งขัน ชื่อของ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ ต้องถูกจารึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย เมื่อเขาได้วิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษจากการเปิดบอลเข้ามาทางริมเส้นฝั่งซ้ายและใช้เท้าขวายิงบอลพุ่งแรงเสียบตาข่ายเข้าไปอย่างสวยงาม ฝากผลงานเอาไว้ 1 ประตู กับสัญญายืมตัว 6 เดือน หลังจากนั้นก็กลับเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อเก็บตัวร่วมกับทีมชาติไทยในทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่อง M-150 Cup และ ยู 23 ชิงแชมป์เอเชีย และหลังจากเสร็จสินภารกิจทีมชาติไทย ทางด้านแบงค็อกก็ได้รับการติดต่อจากเอฟซีโตเกียวอีกครั้งว่า อยากยืมเจ้าไอซ์ไปเล่นในทีมยู23อีก 1 ฤดูกาล เจ้าไอซ์ก็ไม่ลังเลที่จะไปเพราะเป็นการยืมตัว 1 ฤดูกาล คงได้อะไรมากกว่าการไปครั้งแรกแน่นอน

ครั้งที่ 2 กับ เอฟซี โตเกียว ครั้งนี้เขาได้เจอกับการฝึกที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและมีโอกาสได้ร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่ซึ่งบางคนมีดีกรีเป็นตัวทีมชาติญี่ปุ่นทำให้เขารู้สึกว่าเหมือนได้เล่นในฟุตบอล เจลีก 1 อยู่ตลอดเวลาและยังได้มีโอกาสมีชื่อสำรองกับทีมชุดใหญ่ในฟุตบอลถ้วยอีกด้วย ได้โอกาสลงสนามในทีมสำรองอย่างต่อเนื่อง จนแฟนบอลที่นั่นเรียกชื่อเขาว่า “จักกิโตะ” ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่มันมาไกลกว่าเขาคาดคิดเอาไว้มากกับการที่มีคนต่างประเทศตะโกนเรียกชื่อตัวเอง

หลังจากเสร็จเสร็จการผจญภัยที่แดนอาทิศอุทัยเขาได้กลับมาอยู่ที่ทรูแบงค็อก แต่ว่าก็ยังเบียดตำแหน่งตัวจริงไม่ได้ทำให้ในฤดูกาล 2019 เขาถูกปล่อยยืมตัวให้กับสมุทรปราการซิตี้ เป็นระยะเวลา 1 ปี ที่นั่นทำให้เขาได้โอกาสแสดงศักยภาพอย่างต่อเนื่อง แต่โชคร้ายที่ต้องมาได้รับบาดเจ็บหนักเอ็นไขว่หน้าหัวเข่าด้านซ้ายขาดต้องผ่าตัดและใช้เวลา 6-8 เดือนปิดฉากซีซั่นนั้นลง และถึงแม้ว่าจะรักษาหายกลับมาได้แล้วกลับมาที่ แบงค็อก เขาก็ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงในยุคของ โค้ชแบน ธชตวัน ศรีปานได้ จนทำให้เขาตัดสินใจที่จะอำลาสโมสรที่ชุบเลี้ยงเขามาเป็นระยะเวลา 7 ปี อย่าง แบงค็อกไป และโยกไปซบทีมช้างศึกยุทธหัตถี สุพรรณบุรีเอฟซี ในเลกที่ 2 ของฤดูกาล2021/2022

เรายังเชื่อว่าเจ้าไอซ์จะกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีได้ แฟนบอลทุกๆคนยังคงเป็นกำลังใจให้เขา ให้กลับมามีผลงานที่ดีกับสุพรรณบุรีและในอนาคตก็ยังหวังว่าเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดีในตำแหน่งฟูลแบ็คขวาให้ทีมชาติไทยเช่นกัน

ดูข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : Goalstorm

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

“โค้ชเตี้ย” ฉุนขาด ฝากคำถามถึง ผตส. ไม่เห็นจังหวะสับศอก จริงหรือ และ จังหวะนี้ถือการทำร้ายคู่ต่อสู้หรือไม่?

พ่อมดน้อยจากแดนไกล จานฟรังโก้ โซล่า

เด็กไทยในแดนกระทิงดุ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว